วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

จักรวรรดิแอซเท็ก

จักรวรรดิแอซเท็ก

แอซเท็ก (อังกฤษAztec Empire) เป็นคำที่หมายถึงกลุ่มชาติพันธ์ในทางตอนกลางของเม็กซิโกโดยเฉพาะกลุ่มที่พูดภาษานาวาตล์ (Nahuatl) ผู้มีอำนาจทางการเมืองและทางการทหารในบริเวณเมโสอเมริกา ในคริสต์ศตวรรษที่ 14, 15 และ 16 ในสมัยที่เรียกว่าปลายยุคคลาสสิกตอนหลังในลำดับเหตุการณ์ในเมโสอเมริกา (Mesoamerican chronology)
ส่วนใหญ่แล้ว “แอซเท็ก” มักจะหมายถึงเฉพาะชาวเตนอชตีตลัน (Tenochtitlan) ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนเกาะในทะเลสาบเท็กซ์โคโคที่เรียกตนเองว่า “เม็กซิกาเทน็อคคา” หรือ “โคลฮูอาเม็กซิกาเทน็อคคา”
บางครั้งคำนี้ก็รวมทั้งผู้ที่พำนักอาศัยของเตนอชตีตลันในนครรัฐพันธมิตรอีกสองเมือง Acolhua แห่ง เตซโกโก และ เทพาเน็คแห่งทลาโคพานที่รวมกันเป็นสามพันธมิตรแอซเท็ก (Aztec Triple Alliance) หรือที่เรียกกันว่า “จักรวรรดิแอซเท็ก”
กลุ่มกองกิสตาดอร์ หรือนักสำรวจดินแดนชาวสเปนนำโดย เอร์นัน กอร์เตส เข้ารุกรานและยึดครองจักรวรรดิแอซเท็ก จนกระทั่งล่มสลายในปี ค.ศ. 1521
อารยธรรม Aztec ที่สาบสูญ
(ผู้เขียน :  ศ. ดร.สุทัศน์  ยกส้าน  ภาคีสมาชิก สำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสถาน)
Hernando Cortes คือนายพลชาวสเปนผู้พิชิตเม็กซิโก และทำลายอาณาจักร Aztec ในเม็กซิโกเมื่อประมาณ ๔๘๐ ปีก่อนนี้ เขาเกิดที่เมือง Medellin ในประเทศสเปน เมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๘ ในวัยหนุ่มเขาได้เดินทางออกจากบ้านเกิดไปศึกษาวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัย Salamanca จนสำเร็จ และได้ไปทำงานที่ West Indies เป็นทหารภายใต้การนำของจอมทัพ Diego Velasquez แห่งสเปน ในขณะที่มีอายุได้เพียง ๒๗ ปี และเมื่อ Velasquez ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการของสเปนในคิวบา เขาได้มีคำสั่งให้ Cortes นำทหารบุกแหลม Yucatan ของเม็กซิโก เพราะได้มีรายงานการพบมหาสมบัติมากมายในดินแดนนั้น แต่เมื่อ Velasquez ล่วงรู้ว่า Cortes เป็นคนที่ทะเยอทะยานใฝ่สูง เขาจึงได้ยกเลิกคำสั่งทันที แต่กองทัพเรือของ Cortes ก็ได้ออกเดินทางไปเรียบร้อยแล้ว
กองทัพของ Cortes ซึ่งประกอบด้วยเรือและกะลาสี ๑๑๐ คน ทหาร ๕๕๓ คน ปืนใหญ่ ๑๔ กระบอก และม้า ๑๖ ตัว เดินทางถึง Yucatan ในเดือนเมษายนของ พ.ศ. ๒๐๖๒ ในการทำสงครามครั้งนั้น Cortes ได้สืบรู้ล่วงหน้าว่าประเทศเม็กซิโกในขณะนั้นกำลังถูกชนเผ่า Aztec ปกครอง และเป็นอาณาจักรที่มีอัญมณีมีค่ามากมาย เขาจึงตัดสินใจล้มล้างอาณาจักร Aztec ทันที โดยได้ออกคำสั่งให้ทหารเผาเรือทุกลำ และเมื่อไม่มีเรือจะโดยสารกลับสเปนทหารของ Cortes ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากจะต้องเดินหน้าฆ่า Aztec ทุกคนหรือมิฉะนั้นก็จะถูก Aztec ฆ่าตาย
ด้วยกำลังและเทคโนโลยีที่เหนือกว่า กองทัพ Cortes ยึดเมือง Tabasco ได้อย่างง่ายดาย และเมื่อเขาปราบกองทัพของอินเดียนเผ่า Tlaxcalan ได้แล้ว เขาก็ได้เกลี้ยกล่อมให้คนเผ่านี้ (ซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตของชนเผ่า Aztec) มาเป็นพวกเดียวกับเขาในการต่อสู้กับ Aztec ต่อไป
จากนั้นกองทัพของ Cortes ได้เดินทางต่อถึงเมือง Tenochtitlan อันเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร Aztec เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๐๖๒ จักรพรรดิ Montezuma ที่ ๒ และพสกนิกรไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต พระองค์จึงทรงคิดว่า Cortes คือเทพเจ้า Quetzaleoatl ที่สวรรค์ทรงส่งมาช่วยอาณาจักร Aztec ให้เป็นสุข พระองค์จึงทรงนำทองคำ ผ้าฝ้าย และอัญมณีมีค่ามากมายมามอบให้ Cortes ความโลภและความกระหายอำนาจได้ทำให้ Cortes จับองค์จักรพรรดิเป็นเชลย และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นเจ้าปกครองอาณาจักร Aztec ทันที
ในเวลาต่อมา Cortes ได้ข่าวว่า นายพล Velasquez ส่งกองทัพมาตาม Cortes จึงได้ออกไปพบกับนายทัพที่ถูกส่งมาที่เมือง Vesacruz โดยได้ทิ้งเมือง Tenochtitlan ให้นายทหารคนสนิทปกครอง เมื่อ Cortes ไม่อยู่ อินเดียนชนเผ่า Aztec โดยองค์จักรพรรดิ Montezuma ที่ ๒ ถูกราษฎรสำเร็จโทษด้วยก้อนหิน Cortes จึงได้รวบรวมกองทัพกลับมาพิชิต Tenochtitlan อีก จนสำเร็จในวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๐๖๔ และได้ตั้งตัวเป็นผู้สำเร็จราชการของสเปนครอบครองอาณาจักร Aztec ทันที
นักประวัติศาสตร์ได้สรุปสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Cortes มีชัยชนะเหนืออาณาจักร Aztec ทั้ง ๆ ที่มีกำลังน้อยนิด (๕๐๐ คน) ก็สามารถพิชิตอาณาจักรที่มีกำลังคนถึง ๕ ล้านได้ ว่ามาจากสาเหตุ ๒ ประการคือ ความสามารถด้านการทูตของ Cortes ในการเกลี้ยกล่อมอินเดียนเผ่าอื่น ๆ ให้มารวมใจสู้ชนเผ่า Aztec ได้สำเร็จ และสาเหตุที่สองคือ ความเชื่อที่ว่า Cortes คือเทพเจ้า เพราะในตำนานของ Aztec นั้น มีเทพเจ้าองค์หนึ่งชื่อ Quetzaleoatl มีผิวขาว เครายาวและสูง ซึ่งได้สัญญากับบรรพบุรุษของเผ่าว่า วันหนึ่งจะเดินทางกลับมาหาชนเผ่านี้อีก ดังนั้น เมื่อชนเผ่านี้ได้เห็น Cortes มีรูปลักษณ์ตรงตามคำทำนาย จึงไม่คิดจะสู้เลย
ในการปกครองอาณาจักร Aztec นายพล Cortes ได้เปลี่ยนภาษา ศาสนาและอารยธรรมต่าง ๆ ของชนอินเดียนใหม่ แต่ถูกชนอินเดียนต่อต้านและเมื่อนายทหารใต้บังคับบัญชาของ Cortes ไม่เชื่อฟังคำบังคับบัญชา Cortes จึงถูกพระเจ้า Charles ที่ ๕ แห่งสเปนทรงเรียกตัวกลับสเปน ใน พ.ศ. ๒๐๗๒ และถูกสั่งไม่ให้หวนกลับไปเม็กซิโกอีกจนกระทั่งเสียชีวิตที่ Castilleha de la Cuesta ใกล้เมือง Seville ในประเทศสเปน เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๐๙๐ ขณะที่มีอายุได้ ๖๒ ปี
เมื่อ Cortes และกองทัพล่าอาณานิคมพิชิตอาณาจักร Aztec ได้สำเร็จ เขาได้พบว่าชนเผ่านี้มีอารยธรรมที่น่าสนใจมาก เช่น อารยธรรมในการสื่อสาร ซึ่งใช้วิธีวาดรูปภาพลงบนหนังกวาง หรือเปลือกไม้ และเนื้อหาที่บันทึกก็มักจะเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และพิธีกรรมต่าง ๆ ทางศาสนา จะอย่างไรก็ตาม หนังสือภาพ (Codex) เหล่านี้หลายเล่ม ถูกนักบวช Aztec เผาทำลายไปจนหมดในขณะที่อาณาจักร Aztec กำลังล่มสลายนั่นเอง พออีก ๒ ทศวรรษต่อมา พระนักบวชชาวสเปนที่ได้ไปเทศนาสั่งสอนอยู่ที่นั่นก็ได้ว่าจ้างให้ศิลปินชาว Aztec บันทึกข้อมูลของอารยธรรมที่กำลังจะสาบสูญอีกครั้งหนึ่ง
ในบรรดาหนังสือภาพ (Codex) ที่ถูกเขียนขึ้นทั้งหมด ไม่มีหนังสือภาพใดสวยและอุดมด้วยเนื้อหาดีเท่าหนังสือภาพที่ชื่อ Codex Mendoza ซึ่งผู้สำเร็จราชการชาวสเปนชื่อ Antonio de Mendoza ได้สั่งให้ทำขึ้นเพื่อถวายแด่พระเจ้า Charles ที่ ๕ แห่งสเปน
หนังสือภาพนี้ประกอบด้วยแผ่นพับ ๗๑ ชุด และมีภาพซึ่งถูกวาดโดยศิลปิน Aztec ที่มีชื่อเสียง ภาพได้รวบรวมความรู้ของชน Aztec ในสมัยนั้นไว้ได้พอสมควร แต่เนื่องจากศิลปินถูกบังคับให้รีบวาด เพราะเรือที่จะนำหนังสือไปถวายพระเจ้า Charles ที่ ๕ ต้องรีบออกเดินทางก่อนที่ฤดูลมเฮอริเคนจะมาถึง แต่ Codex Mendoza ก็ไม่ได้ถึงพระหัตถ์ของพระเจ้า Charles ที่ ๕ แต่ประการใด เพราะเรือสเปนที่นำหนังสือได้ถูกกองทัพเรือฝรั่งเศสยึดไว้ ดังนั้น หนังสือภาพจึงตกอยู่ในอุ้งมือของ Andus Thevet แห่งราชสำนักของพระเจ้า Henri ที่ ๒ ของฝรั่งเศส
และหลังจากที่ Thevet ถึงแก่กรรม Codex Mendoza ก็ได้ถูกนำไปขายต่อและเปลี่ยนเจ้าของหลายคน จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๘๓ J.C. Clark ได้พิมพ์หนังสือเล่มนี้ออกเผยแพร่ และได้สร้างความฮือฮาให้แก่วงการโบราณคดีมาก เพราะ Codex Mendoza ได้กล่าวถึงวิถีชีวิตของชาว Aztec ตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ ๑๒ และความเป็นมาของชนเผ่าต่าง ๆ ในอาณาจักร รวมทั้งการสถาปนา Tenochtitlan เป็นนครหลวงใน พ.ศ. ๑๘๖๘ ด้วย จึงทำให้เรารู้ว่าภายในเวลาเพียง ๒๐๐ ปีมหานครแห่งนี้ก็ได้มีประชากรถึง ๒๐๐,๐๐๐ คน
ในบทสุดท้ายของ Codex Mendoza ได้มีการกล่าวถึงวัฏจักรชีวิตของชาว Aztec ทั้งที่มีคุณค่าและไม่มีค่าใด ๆ เช่น คนที่ทำงานหนัก ชีวิตในบั้นปลายก็จะสุขสบาย ส่วนคนขี้เมาหรือขโมยก็จะถูกชาวเมืองอื่น ๆ เหยียดหยามและลงโทษ เป็นต้น
Codex Mendoza ยังได้บันทึกอีกว่าชนชาว Aztec นิยมเล่นเกม Chaah ซึ่งประกอบด้วยลูกบอลที่ยืดหยุ่นมาก เพราะเวลาลูกบอลกระทบพื้น มันจะกระดอนขึ้นสูงอย่างแทบไม่น่าเชื่อ Pedro Martyr นักประวัติศาสตร์แห่งราชสำนักของสเปนซึ่งได้เดินทางถึง Tenochtitlan ใน พ.ศ. ๒๐๗๓ ได้บันทึกเพิ่มเติมว่า ชาว Aztec ผลิตลูกบอลนี้ โดยใช้น้ำยางจากต้นไม้พื้นเมืองชนิดหนึ่ง ผสมกับน้ำหวานที่ได้จากไม้เลื้อยพันธุ์พื้นเมืองเช่นกัน
นี่คือข้อมูลเท่าที่มี ดังนั้น สูตรการทำลูกบอลยางจึงเป็นสูตรที่ได้ถูกปกปิดกันมานานร่วม ๕๐๐ ปี
มาบัดนี้ F. Bates แห่งมหาวิทยาลัย Mennesola ที่เมือง Minneapolis ในสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยสูตรดังกล่าวในวารสาร Science ฉบับเร็ว ๆ นี้ว่า ชนเผ่า Aztec ใช้เทคโนโลยีชีวภาพทำลูกบอลสำหรับเล่มเกม Chaah ที่มีคนดูนับพัน โดยใช้ยางจากเปลือกของต้น Castilla Elastica มาผสมกับน้ำที่คั้นได้จากต้น Morning Glory เพราะเขาได้พบว่า ภายในเวลาเพียง ๑๐ นาที เท่านั้นเอง ยางเหนียวของต้นไม้ดังกล่าวจะตกตะกอนและจับตัวแข็งเป็นลูกบอล
การล่วงรู้สูตรที่ชาว Aztec ใช้ในการทำบอลครั้งนี้ ทำให้เรารู้ว่าชน Aztec เมื่อ ๕๐๐ ปีก่อน มีความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของต้นไม้ดีถึงระดับที่สามารถนำไปใช้ในการผลิตเป็นอุตสาหกรรมได้ เพราะประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า ในสมัยนั้นเจ้าเมืองต่าง ๆ ที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอีกเจ้าเมืองหนึ่ง ต้องส่งส่วยเป็นลูกบอลยางลักษณะนี้ถึง ๑๖,๐๐๐ ลูก เพื่อใช้ในพิธีทางศาสนา และการละเล่นต่าง ๆ


7 สัตว์ประหลาดของโลกที่เราไม่ค่อยรู้จัก

7 สัตว์ประหลาดของโลกที่เราไม่ค่อยรู้จัก




คุณเบื่อบิ๊กฟุตหรือเปล่าคุณเบื่อเนสซีหรือเปล่าวันนี้ผมจะพาท่องไปเที่ยวรอบโลกไปหาสัตว์ประหลาด(สัตว์ลึกลับ) ซึ่งแต่ละประเทศก็มีสัตว์ประหลาดแบบบิ๊กฟุตที่แตกต่างกันออกไป ใครได้อ่านดู ต้องโอ้ๆๆๆๆ ว่ามันเคยมีคนพบเห็นด้วยเหรอนี้ นึกว่ามีอยู่ในตำนาน
........เกือบลืม นอกจากสัตว์พวกนี้ยังแปลกประหลาดแล้ว สัตว์พวกนี้ยังน่ากลัวเสียด้วยสิ บางตัวสร้างความเสียหายแก่มนุษย์และนำมาซึ่งภัยพิบัตอย่างน่าประหลาด เหลือเชื่อ.......รวมๆ แล้วมี 7 ชนิด 7 สัตว์ประหลาด ซึ่งสัตว์เหล่านี้เหล่านี้เราหวังว่าจะมีการค้นพบเพื่อพิสูจน์ว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่
มีอะไรบ้างไปดูกัน..................



+
อันดับ7. โพโพบาวะ(Popobawa)
ทรามซิลวาเนีย anzania:mk
 
                ทรามซิลวาเนีย แดนผีดูดเลือด ประเทศที่มีธรรมชาติที่สวยงาม พระอาทิตย์ตกดินก็โรแมนติก แต่พอตกกลางคืนกลับกลายเป็นคืนที่หวาดผวาเมื่อมีสิ่งมีชีวิตลึกลับเคยก่อกวนพวกเขายิ่งกว่าผีดูดเลือด มันคือ.... Popobawa หรือยักษ์บินกินคน....(นึกว่ามีแต่นิยาย)
                ในศวรรษที่ 70 ที่โซมิซ (ในปี 1995 ก็ยังเกิดอยู่ โดยเฉพาะที่ทรามซิสวาเนีย ไอร์แลนด์ )เกิดเหตุการณ์สัตว์ลึกลับประหลาดชนิดหนึ่งอาละวาด รูปร่างเหมือนไซครอปสัตว์เทพนิยายกรีกแต่มีขนาดเล็กกว่ามากๆ พอๆ กันค้างคาว มีตาเล็กขนาดใหญ่ หูแหลม ส่งเสียงทางจมูกฟิ๊ตๆและมีกลิ่นเหม็นมากๆ มันชอบทำร้ายคนมากกว่าสัตว์เลี้ยง ชอบก่อกวนหนังคาของชาวบ้านตอนกลางคืน และชอบลับๆ ล่อๆ เข้าไปในบ้านของชาวบ้านเสียด้วยสิ แต่กระนั้นหลายคนก็บอกว่ามันน่าจะเป็นคนปลอมตัวมากกว่า(คงใช้สลิงลอยตัว) เพราะมีรายงานว่ามันตบตีผู้หญิง(แสดงว่าชอบซาดิสต์)แถมยังปล้นสะดมด้วย.........เออ ลืมบอกไป สิ่งที่มันขโมยส่วนใหญ่คือเสื้อผ้า โดยเฉพาะกางเกง.........(เอาไปทำไมเนี้ย)

อันดับ มานานังเกล (Manananggal)
ฟิลิปปินส์
 
(ลองแปลดูแล้ว อ่านดูนึกว่าเป็นกระสือบ้านเรา) มันเป็นสัตว์ลึกลับ(หรือเผ่าลึกลับหว่า??)ของชาวเกาะในฟิลิปปินส์ โดยรูปร่างของ มานานังเกล มีรูปร่าง และหน้าเป็นผู้หญิงโบราณสวย แต่มีปีกขนาดใหญ่ที่หลังมีความสามารถถอดลำตัวของมันแยกออกได้โดยไม่ตาย(ผีแล้วนั้น) และบินออกไปหาเหยื่อ
                เรื่องของเจ้า มานานังเกล นั้นน่ากลัวมาก โดยที่เกาะ วิซายัน  จะเห็นผู้คนแขวนกระเทียมจำนวนมาก เพื่อป้องกันเจ้า มานานังเกล  (มันเป็นเดร็กคูล่าเหรอเนี้ย) นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่าถ้าเอาเกลือมาพรมที่พักของ มานานังเกล และพรมที่ท่อนบนที่เจ้า มานานังเกล แยกตัวออก(ตรงรอยต่อนั้นแหละ)  มันจะตายเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น (ทำไมไม่ใช้ปืนยิงหว่า ง่ายดี ไม่ยุ่งยากด้วย)
ทำไมถึงกลัว ความจริงเจ้าเหรอ มานานังเกล ก็ไม่มีอันตรายอย่างตรงไปตรงมาหรอก เว้นสิ่งเหลวที่พ่นใส่ปากหญิงตั้งครรภ์จะทำลายเด็กในครรภ์ได้ นอกจากนี้มันยังชอบกินหัวใจเด็ก(เหมือนปอบ) นอกจากนี้ยังชอบกินลูกไก่ของชาวบ้านอีกด้วย
ดูคลิปนี้ได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=OPLjcWTU6aI

          อันดับ โวลเปอทิงเกอ (Wolpertinger)
                เยอรมัน
                
กระต่ายเขากวาง หลายคนอาจรู้จัก ซึ่งมันอาศัยอยู่ในอเมริกาตะวันตก แต่ที่เยอรมันนั้นต่างกัน รูปร่างของมันก็เหมือนกระต่ายแหละเพียงแต่มันมีปีกเหมือนเป็ด มีเขี้ยว และเขาเหมือนกวาง ที่อยู่อาศัยของมันอยู่ที่ป่าสีดำของเบนาเซียว่ากันว่าสัตว์ลึกลับตัวนี้เกิดจาก ไวรัส  Shope  Papilloma เป็นสาเหตุมันกลายพันธุ์ โดยเป็นเนื้องอกมะเร็งคล้ายเขากวางบนหัวของกระต่าย  (แต่มะเร็งไม่ได้ทำให้มันบินได้หรอกน่ะ) ซึ่งมันก็ไม่น่ากลัวอะไรหรอก(ใครจะบ้ากลัวกระต่าย) เพียงแต่มีข่าวลือกันว่ามันอาจเป็นพาหนะแพร่เชื้อโรค หรือเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้นกะหล่ำของชาวบ้านตาย อีกทั้งมันอาจกัดคุณได้ถ้าคุณไปเล่นหัวมัน(ดูเขี้ยวสิ) นอกจากนี้มียังมีนิสัยชอบหนุ่มหล่อ-สาวสวยอีก(โหย)

อันดับ 4 หนอนมรณะ (The  Death  Worm)
มองโกเลีย
                
อัลกอย คอคอย หรือ หนอนมรณะ(บางที่เรียกว่าหนอนไฟฟ้า) ถ้าคุณจะไปทะเลทรายโกบี หรือทะเลทรายมองโกเลียละก็ระวังมันให้ดี เจ้าหนอนชนิดนี้มันจะฝังตัวในทะเลทราย และเมื่อมันหิวเมื่อไหร่มันจะออกล่า อูฐ และม้า ซึ่งเป็นอาหารโปรดของมัน โดยทั่วไปรูปร่างของมันจะคล้ายๆ ลำไส้วัวตัวเมีย มีสีแดงเข้ม มีท่าไม้ตายคือถ่มน้ำลายที่มีพิษเหมือนพิษงูเหลืองซึ่งเป็นอันตรายถึงตายได้ทันทีที่สัมผัสมัน นอกจากนี้มันยังสามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงเพื่อฆ่าเหยื่อได้ด้วย(ปิกาจูหรือเปล่านั้น)  
ว่ากันว่าเจ้าหนอนตัวนี้เกิดขึ้นเพราะการทดลองของทหาร ซึ่งเขาใช้พื้นที่ทะเลทรายทดสอบอาวุธนิวเคลียร์เข้าบางที่หนอนนั้นอาจเกิดกลายพันธุ์ดังกล่าว และหนอนชนิดนี้เป็นที่สนใจของชาวตะวันตกมากถึ้งขั้นแต่งเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ โดย อีวาน แมคเคิล นักประพันธ์รัสเซีย

อันดับ พญานาค (Phaya Naga)
ประเทศลาว , ไทย (เย้ๆ ประเทศไทยติดอันดับโลก)
 
พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่บ้านเราเชื่อว่าเป็นงูยักษ์ แต่ทางฝรั่งคิดว่าเป็นปลามากกว่า
น่าเหลือเชื่อว่าพญานาคบ้านเราติดอันดับ 3 ด้วยเหตุผลมันพ่นไฟได้ (ความจริงพญานาคพญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิดแต่ฝรั่งไม่ยักสน)...................
เรื่องของเรื่องคือแม่น้ำโขงไงครับ พระจันทร์เต็มดวงเดือนตุลาคม บั้งไฟพญานาค ที่ฝรั่งมาเห็นโอ้ มายก็อด นั้นคืออะไรนี้ ไฟขึ้นจากน้ำกลมๆ สีแดง แถมเยอะอีก ลอยบนไฟด้วย นั้นขีปนาวุธหนักเปล่าหว่า และเมื่อฝรั่งได้ยินคำตอบว่า ไฟนี้เกิดจากปลา(หรืองู)ชนิดหนึ่งชื่อ พญานาค ก็ร้องโอ้อีกแล้วพูดว่า "ฉันพึ่งเคยได้ยินนี้แหละ ว่าบนโลกใบนี้มีปลา(หรืองู)ที่สามารถสร้างขีปนาวุธติดวัตถุระเบิดแล้วพ่นทางปลาด้วย ฝรั่ง งง........."
                                เอาเถอะ.......แม้มีผลวิจัยบอกว่า  บั้งไฟพญานาคเกิดจากแก๊สธรรมชาติก็เถอะ ชาวบ้านแถบลุ่มน้ำโขงก็ไม่เชื่ออยู่ดีแหละ เพราะความเชื่อพญานาคนั้นมันฝังลึกในสมองของพวกเขาแล้ว และพอถึงปี 2003 สถานีโทรทัศน์ประเทศไทย(ไอทีวี) ได้ออกมาเสนอข่าวว่าบั้งไฟพญานาคนี้มาจากพลุไฟของทหารลาว ที่ยิงมา
จากเรือลอยน้ำที่จุดขึ้นบนฟ้าเพื่อเฉลิมฉลองงานเลี้ยงที่Buddhist  ต่างหาก และเมื่อสถานีแฉเสร็จก็โดนด่าจากคนทั้งประเทศสิ แถมมีการฟ้องร้องอย่างใหญ่โตอีก เรียกเงินค่าเสียหายนับล้าน
                แม้ไม่มีรายงานความเสียหายบั้งไฟพญานาคตกใส่คน หรือทำอันตรายต่อผู้พบเห็น แต่ก็ถือว่ามันก็สร้างความเสียหายแบบอ้อมๆ แหละ กับสถานีโทรทัศน์ไอทีวี เพราะหมดเงินค่าเสียหายเยอะน่าดู

อันดับ ทิคบาลัง (Tikbalang)
 
ฟิลิปปินส์
ออกไปนอกโลกเลยคราวนี้ กับอันดับ 2 กลับมาที่ ฟิลิปปินส์อีกครั้ง แม้เห็นรูปร่างแบบนี้ก็เถอะแต่มันก็น่ากลัวไม่ใช่ย่อยเลย เพราะมันฆ่าคนด้วย..............
ทิคบาลังเป็นสัตว์ลึกลับ ครึ่งคนครึ่งม้า ตาสีแดง รูปร่างเหมือนคน หัวเป็นม้า แต่มีสี่ขาเหมือนเซนเทอร์(สัตว์ในตำนานของกรีก) ขาของมันค่อนข้างยาวสามารถกระโดดได้ไกลมาก ที่อยู่อาศัยของมันอยู่ที่ป่าลึกของฟิลิปปินส์  โดยตามความเชื่อของชาวบ้าน ทิคบาลังชอบกินคน โดยการล่อลวงเหยื่อเข้าไปในป่า แล้วทุบตีอย่างไร้ความปรานี



อันดับ กษัตริย์หนู (Rat King)
ยุโรป
 
                และแล้วก็มาถึงอันดับ 1 ของเราที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันติดเพราะอะไร เพราะมันไม่ใช้สัตว์ลึกลับ แต่เป็นปรากฏการณ์ลึกลับที่แปลกประหลาดที่ไขปริศนามากกว่า ว่าเป็นเพราะอะไรมันถึงต้องทำอย่างนั้น
ปรากฏการณ์ราชาหนูหรือพญามุสิกนั้น เป็นปรากฏการณ์ที่ หนูเป็นๆ กลุ่มหนึ่ง อายุรุ่นคราวเดียว มัดหางติดกันทั้งกระจุกและถ้าเราให้แพทย์ไปทำการเอ็กซ์เรย์จะพบว่ากระดูกท่องหางของมันมัดอย่างหนาแน่น กระดูกบางชิ้นมีรอยหัก แสดงว่าหนูพวกนี้มีหางติดกันมานาน และพยายามดึงตัวให้ออกพันธนาการแต่ไม่สำเร็จ
 
ปรากฏการณ์พญามุสิกนี้ ในช่วง ค.. 1562 ถึง 1963 ได้เกิดขึ้น 57 ครั้ง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเยอรมัน ซึ่งทุกรายเป็นหนูสีดำ จำนวนหนูในแต่ละกระจุกนั้นมีระหว่าง 5ถึง 12 ตัว และเป็นหนูวัยเดียวกัน อายุยังไม่โตเต็มที่ มักพบที่ที่มีรูเพดาน ฝาบ้าน ในครัว ในยุ้ง พร้อมกับเสียงร้องจี๊ดจ๊าดกันระงมในรังที่อยู่อาศัยของมัน และเมื่อใดที่ผู้คนพบเห็นปรากฏการณ์นี้จะเป็นการทำนายคร่าวๆ ว่า "จะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นในไม่ช้านี้" เช่นเหตุการณ์โรคระบาดอหิวาของยุโรป, สงครามโลก